วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Prairie Dogs

แพรี่ ด็อก (Prairie Dog) 


สัตว์เลี้ยงตัวเล็กที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายกระรอก แต่ก็มีเสียงเห่าคล้ายสุนัขตัวเล็ก เพื่อป้องกันศัตรู แพรี่ ด็อก ก็เลยมีชื่อเรียกแบบไทยๆ ว่า “กระรอกหมา” แถมยังเป็นกระรอกที่ไม่ได้อยู่บนต้นไม้ ก็เลยมีอีกชื่อว่า “กระรอกดิน” ด้วย แต่ไม่ว่าจะชื่อไหน คนไทยก็หลงรักเจ้าตัวน้อยนี่กันเยอะเลยทีเดียว
เจ้าแพรี่ ด็อก ไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เพราะถิ่นกำเนิดของมันอยู่ไกลบ้านเรา แถบทุ่งหญ้าแพรี่ ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ แต่ด้วยความน่ารัก ฉลาด ขี้อ้อน แถมยังเป็นสัตว์สังคม ที่ทำให้มนุษย์หลงรักได้ง่ายสุดๆ ชะตากรรมของแพรี่ ด็อกในยุคนี้เลยกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์
ถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในตระกูลฟันแทะเช่นเดียวกับพวกกระรอก หนูตะเภา หรือแฮมสเตอร์ แต่จะเลี้ยงด้วยวิธีเดียวกับสัตว์เหล่านั้นไม่ได้เลย อย่างที่บอกไปแล้วว่า แพรี่ ด็อก เป็นสัตว์สังคม ซึ่งโดยธรรมชาติจะอยู่รวมตัวกันเป็นฝูง การนำเจ้าตัวเล็กนี่มาเลี้ยง นั่นหมายความว่า คุณต้องมีเวลาดูแลเค้าอย่างมาก ไม่ก็ต้องหาเพื่อนเล่นให้ ด้วยการเลี้ยงเป็นคู่ เพราะแม้จะเป็นสัตว์ แต่ก็เกิดความเครียดได้

อาหารการกิน

การดูแลเรื่องโภชนาการของแพร์รี่ด็อกนั้นนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและการมีชีวิตที่แข็งแรงยืนยาว แพร์รี่ด็อกเป็นสัตว์กินพืช ที่กินหญ้าเป็นอาหารหลักมากกว่า 80-95% ของตลอดช่วงชีวิต
เป็นความคิดและการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง ที่ให้เขากินผักสด ผลไม้ ขนม เมล็ดพืช หรืออาหารเสริมต่างๆอย่างตามใจ เพราะนั่นจะทำให้เขามีช่วงชีวิตที่สั้นลง การได้รับโภชนาการที่ผิด ถ้าไม่ส่งผลในทันที ก็จะส่งผลในระยะยาว โดยจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดเมื่อเขามีอายุราว 4-6 ปี และก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงเท่านั้น จากสถิติแพร์รี่ด็อกที่ได้รับโภชนาการที่ถูกต้อง สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานสูงสุดถึง 17 ปีเลยทีเดียว

เรื่องง่ายๆที่ควรคำนึงถึงที่สุดสำหรับการทำให้แพร์รี่อยู่กับเราไปนานๆ คือ “การควบคุมน้ำหนัก”
น้ำหนักมาตรฐานโดยเฉลี่ยของแพร์รี่ด็อก คือ 1 – 1.4 กิโลกรัม
หากน้ำหนักเกิน 1.5 กิโลกรัม นับว่าจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจ ปอด กระดูก ไขมันอุดตัน ต้องได้รับการดูแลโภชนาการเป็นพิเศษเพื่อลดน้ำหนัก
เนื่องจากระบบทางเดินอาหารของแพร์รี่ไวต่อการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนชนิด ยี่ห้อ หรือการเพิ่ม-ลดปริมาณอาหารนั้น
ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เกิดความเครียด ซึ่งอาจะทำให้เกิดแก๊สในกระเพราะอาหารได้
ต้องค่อยๆเปลี่ยนอาหาร โดยลดปริมาณอาหารเติมลงครั้งละ 1/4 แทนที่ด้วยอาหารชนิดใหม่ ซึ่งขั้นตอนนี้ควรใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 สัปดาห์
หรือแม้แต่การลดปริมาณอาหารเม็ดลง ก็ต้องค่อยๆลดปริมาณเพื่อให้แพร์รี่กินหญ้ามากขึ้น

ช่วงแรกของการปรับ-เปลี่ยนอาหารนั้น ในบางรายพบว่า แพร์รี่สามารถมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
เช่น อาการก้าวร้าว ระวนกระวาย เก็บตัว นอนนาน หรือกินอาหารสะสมมากขึ้น เนื่องจากเครียดและวิตกกังวล หากมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป
ปัญหาที่พบมากที่สุดคือ แพร์รี่ไม่ยอมกินหญ้า ผู้เขียนเปรียบว่าเหมือนเด็กที่เคยให้กินขนมทุกวัน ก็จะไม่รู้จักกินผัก และไม่ชอบกินของดีที่มีประโยชน์ ผู้ใหญ่ต้องคอยสอนและหัดให้เค้ากินจนเป็นนิสัย ^^

ข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาอาหารต่อไปนี้ เป็นสัดส่วนเปรียบเทียบเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและการกะปริมาณอาหารในแต่ละวันเป็นข้อมูลพื้นฐาน เหมาะสำหรับแพร์รี่ที่มีสุขภาพและพัฒนาการเป็นปกติตามช่วงอายุ
โดยผู้เรียบเรียงได้คำนึงถึงอาหารแต่ละชนิดที่สามารถหาได้ในประเทศไทย และปรึกษานักวิจัยเกี่ยวกับค่าความต้องการสารอาหารตามหลักภูมิศาสตร์

โดยสามารถแบ่งได้หลักๆ 5 ช่วงคือ
1 ช่วงแรกเกิด 1-10 สัปดาห์
2 ช่วงวัยเด็ก 10 สัปดาห์ขึ้นไป – 6 เดือน (หรือเมื่อมีน้ำหนักต่ำกว่า 9 ขีด)
3 ช่วงเจริญเติบโต 6 เดือน – 2 ปี (หากแพร์รี่มีน้ำหนักถึง 9 ขีดแล้ว จะจัดว่าอยู่ในช่วงเจริญเติบโต โดยจะมีพัฒนาการทางร่างกายเต็มที่เมื่ออายุ 2 ปี โดยประมาณ)
4 ช่วงโตเต็มวัย 2 ปีขึ้นไป
5 ช่วงผู้ใหญ่-ชรา ตั้งแต่ 5-6 ปีขึ้นไป

 

อาหารที่แนะนำ

– หญ้า 
หญ้าที่ดีที่สุดสำหรับแพร์รี่ด็อกคือ หญ้าทิมโมธี ควรเลือกยี่ห้อที่มีคุณภาพสูง และเลือกซื้อถุงขนาดใหญ่ที่สุด เพราะจะมีการหัก ตัด หรือทำให้หญ้าในส่วนที่ดีเกิดความเสียหายน้อยกว่า แพร์รี่ด็อกนั้นไม่ได้กินทุกส่วนของหญ้า โดยจะเลือกกินเฉพาะส่วนที่ดีที่สุดเท่านั้น  
ดังนั้นการเปลี่ยนหญ้าใหม่ทุกวันมีความจำเป็นอย่างมาก หญ้าที่เห็นว่ายังเหลืออยู่ มันอาจเป็นเพียงเศษที่เหลือทิ้งจากการกินของเขาแล้วเท่านั้น และการทิ้งหญ้าไว้นานอาจทำให้เกิดเชื้อราได้อีกด้วย ทั้งนี้หญ้าใหม่ๆยังช่วยกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีกว่า

-อาหารเม็ดอาหารเม็ดที่แนะนำคือ Essentials Oxbow Adult Rabbit เนื่องจากเป็นแหล่งเสริมโปรตีนที่ดีและยังมีสารอาหารอื่นๆตรงตามคามต้องการของแพร์รี่ที่สุด การเลือกซื้ออาหารยี่ห้ออื่นนั้น ควรคำนึงถึงปริมาณไฟเบอร์เป็นหลัก และต้องเป็นอาหารสำหรับกระต่ายเท่านั้น มีความสับสนกระหว่าง อาหารเม็ดของกระต่ายและหนู ที่จริงแล้วส่วนประกอบมีความแตกต่างกันมาก แม้คุณค่าทางโภชนาการจะดูใกล้เคียงกันก็ตาม การเลือกซื้ออาหารกระต่าย แนะนำเป็นสูตรสำหรับกระต่ายโตเท่านั้น ซึ่งแพร์รี่สามารถกินได้ทุกช่วงอายุ เพราะส่วนมากอาหารเม็ดของกระต่ายเล็กนั้นจะมีส่วนผสมของอัลฟาฟ่า




โภชนาการ


ช่วงที่1 อายุต่ำกว่า 10 สัปดาห์
หลังจากหย่านมแม่แล้ว มีความต้องการไฟเบอร์จากหญ้า และยังต้องการโปรตีนเป็นพิเศษ
ไทยประเทศไทยนั้นพบว่า แพร์รี่ที่ถูกนำเข้ามา เกือบทั้งหมดจะมีอายุเกิน 10 สัปดาห์แล้วทั้งสิ้น
แต่หากพบว่าแพร์รี่มีขนาดตัวที่เล็กผิดปกติ(เล็กกว่าฝามือ) หรือมีแนวโน้มว่าจะขาดสารอาหารต้องได้รับโภชนาการเป็นพิเศษ
อาจต้องใช้หลอดป้อนอาหาร โดยบดอาหารทุกชนิดให้ละเอียด ส่วนผสมดังนี้
1 นม (แนะนำเป็นนมแพะพาสเจอร์ไรส์)
2 หญ้าทิมโมธี
3 อาหารเม็ด Essentials Oxbow Young Rabbit
4 Oxbow critical care
5 มันฝรั่งหวาน


สำหรับแพร์รี่ด็อกอายุมากกว่า 3 เดือน ขึ้นไป ถึง 1 ปียังมีความต้องการโปรตีนอยู่บ้าง- หญ้าทิมโมที 80%
– อาหารเม็ด 1-2 ช้อนโต๊ะ /หรือหญ้าขนสดได้บ้าง 15%
– หนอนนก(แนะนำแบบอบแห้ง 1-2 ตัว/วัน)

อาหารเสริมหรือขนมรางวัล ตามรายการที่อนุญาต 5%


แพร์รี่ด็อกอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ควรได้รับโภชนาการแบบควบคุมน้ำหนัก
*น้ำหนักเฉลี่ยสูงสุดของแพร์รี่ด็อก ต้องไม่เกิน 1.5 กิโลกรัม

การควบคุมน้ำหนัก

ผู้เลี้ยงหลายคนมักบำรุงและเสริมอาหารต่างๆเพื่อนให้เขาอ้วน โดยหารู้ไม่ว่านั้นคือการทำให้เขาตายลงอย่างช้าๆ สิ่งที่ผู้เลี้ยงควรคำนึงถึงคือการทำอย่างไรไม่ให้เขาอ้วนต่างหาก เนื่องจากนิสัยตามธรรมชาติ แพร์รี่จะไม่ออกหากินไกลบ้าน ยิ่งนำมาเป็นสัต์เลี้ยงด้วยแล้ว เขาแทบจะไม่ได้ออกกำลังกายเลย ดังนั้นแค่การกินหญ้าเพียงอย่างเดียวก็ทำให้อ้วนได้โดยที่ไม่ต้องพยายาบำรุง อะไรแต่อย่างใด

ความอ้วนในแพร์รี่นั้นเป็น ปัญหาเงียบที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะนำพามาซึ่งโรคต่างๆมากมาย เช่น โรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ปอด โรคตับ-ไต โดยโรคต่างๆนี้มักตรวจพบในแพร์รี่ด็อกที่มีอายุตั้งแต่ 3-4 ปีขึ้นไป อีกทั้งน้ำหนักตัวที่มากเกินมาตรฐานนั้น ยังทำให้เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นหากได้รับอุบัติเหตุ เช่น เล็บหลุดจากการการปีนป่าย หรือการตกจากที่สูง



สำหรับแพร์รี่ด็อกอายุ 1 – 6 ปี
ยังมีความต้องการโปรตีนอยู่บ้าง และต้องอยู่ในโภชนาการควบคุมน้ำหนัก
– หญ้าทิมโมที 95%
– หนอนนก(แนะนำแบบอบแห้ง 1-2 ตัว/วัน)
– อาหารเม็ด 1 ช้อนชา/ หรือหญ้าขนสดได้บ้าง 5%

*ส่วนการให้อาหารเสริมหรือขนมรางวัลต่างๆนั้น
ขนาดไม่เกิน 1*1 ซม. ปริมาณไม่เกิน 1 ชิ้น 1 ชนิด เพียงปีละ 3-4 ครั้งเท่านั้น

สำหรับแพร์รี่ด็อกอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปมีความต้องการโปรตีนมากขึ้น และต้องอยู่ในโภชนาการควบคุมน้ำหนัก
-หญ้าทิมโมที 95%
-หนอนนก(แนะนำแบบอบแห้ง 1-2 ตัว/วัน)
-อาหารเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ /หรือหญ้าขนสดได้บ้าง 3-5%

*ส่วนการให้อาหารเสริมหรือขนมรางวัลต่างๆนั้น
ขนาด 1*1 ซม. ปริมาณครั้งละ 1 ชิ้น 1 ชนิด เพียงปีละ 3-4 ครั้งเท่านั้น


„โรคที่พบในแพรี่ ด็อก - มีโอกาสเป็น โรคพิษสุนัขบ้า ได้ เนื่องจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดที่เอามาเลี้ยงมีโอกาสเป็นพิษสุนัขบ้าได้ทั้งสิ้น ยิ่งถ้านำแพรี่ ด็อก มาเลี้ยงแล้วมีการคลุกคลีกับสุนัข หรือแมว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ เช่น กระรอก กระต่าย แนะนำให้นำแพรี่ ด็อกไปฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าปีละครั้ง โดยเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 เดือนขึ้นไป ในส่วนของผู้ที่เลี้ยงควรจะฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไรภูมิต้านทานร่างกายเราจะลดลงจนคุมโรคไม่ได้ รวมทั้งวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักร่วมด้วย เพราะมีโอกาสเป็นบาดทะยักได้จากแผลที่ถูกกัด - โรคพยาธิ ควรมีการถ่ายพยาธิทุก 3 เดือน เพราะบางครั้งแพรี่ ด็อก อาจจะไปกินหนอน กินแมลงมา ทำให้อาจมีพยาธิในสำไส้ได้ อีกทั้งมี โอกาสที่จะมาติดคนได้ด้วย จากการจับเล่นกับแพรี่ ด็อก ที่มีพยาธิอยู่ เนื่องจากตามธรรมชาติเมื่อสัตว์ถ่ายจะมีการเลียก้น แล้วสัตว์ก็มาเลียมือเราต่อ มือเราอาจมีไข่พยาธิติดอยู่ เมื่อเอามือหยิบอาหารเข้าปากก็จะได้รับพยาธิเข้าสู่ร่างกายได้ - โรคท้องร่วง เนื่องจากสัตว์ส่วนใหญ่ที่นำเข้ามามักจะมีโรคท้องร่วงแฝงอยู่ โดยสัตว์จำพวกนี้จะเป็นพาหะของโรคท้องร่วง ซึ่งเป็นโรคติดคนได้ ยิ่งถ้าเอามาเลี้ยงแล้วไม่รักษาสุขลักษณะอนามัยที่ดี เช่น ผู้เลี้ยงกินข้าวจานเดียวกับสัตว์ รักมากเอามานอนด้วยกัน มีการนำสัตว์มาจูบ หากร่างกายคนเลี้ยงไม่แข็งแรงก็อาจติดเชื้อจากสัตว์ได้ จึงต้องรักษามั่นทำความสะอาดถาดรองกรง 




ที่มา :
http://www.livingdd.com/prairie-dog/
http://www.prairiedogthailand.com/howto/care/food/
http://www.dailynews.co.th/article/280000
http://www.livingdd.com/prairie-dog/

Fennec fox

หมาจิ้งจอกเฟนเนก




เฟนเน็คฟ็อกซ์ หรือ จิ้งจอกตัวน้อยแห่งทะเลทรายซาฮาร่า เป็นสัตว์กินทั้งพืชและสัตว์ (Omnivore) พวกมันจัดได้ว่าเป็นจิ้งจอกที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก โดยตัวเต็มวัยของเจ้าเฟนเน็คนั้น มีน้ำหนักเฉลี่ยเพียง 1.75 กิโลกรัมสำหรับตัวผู้ และ 1.25 กิโลกรัมสำหรับตัวเมีย ซึ่งจะเทียบน้ำหนักกันแล้ว ยังถือว่าเล็กกว่าสุนัขบ้านแทบทุกสายพันธุ์ที่ซื้อขายกันในท้องตลาด ที่เห็นจะมีใกล้เคียงก็น่าจะเป็นชิวาว่า ด้วยความที่เฟนเน็คเป็นนักล่าที่ตัวเล็ก การหาอาหารจึงจะล่าเพียงสัตว์ที่ขนาดไม่ใหญ่มากมาเป็นอาหาร อย่างเช่นพวกแมลง ไข่สัตว์ชนิดต่างๆ หนู กระต่าย นก และสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ความสามารถในการหาอาหารของมันก็เป็นเลิศ เนื่องจากหูของมันสามารถจับความเคลื่อนไหวได้แม้กระทั่งเสียงแมลงที่กำลังขุดทราย ทำให้พวกมันหาอาหารได้ไม่ยาก นอกจากเนื้อสัตว์มันก็ยังกินผักผลไม้อีกด้วย เรียกได้ว่าพวกมันกินแทบจะทุกอย่างเท่าที่พวกมันจะหาได้ และแม้ว่ามันจะเป็นนักล่าที่น่ากลัวสำหรับสัตว์เล็กๆเหล่านั้นแล้ว พวกมันก็ตกเป็นผู้ถูกล่าสำหรับสัตว์บางจำพวกที่ตัวใหญ่กว่ามันเช่นกัน แต่การที่มันจะตกเป็นเหยื่อนั้นไม่ง่าย เนื่องจากใบหูที่มีขนาดใหญ่ของมัน มีความสามารถในการได้ยินอย่างดีเยี่ยม พวกมันสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของนักล่าที่ย่ำผืนทรายตั้งแต่ระยะไกล ทำให้มันสามารถไหวตัวและหลบหนีได้ก่อนที่นักล่าจะเห็นตัวมันเสียอีก
ในการดำรงชีวิตอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้ง ร่างกายของเฟนเน็คจึงมีการพัฒนาและปรับสภาพให้พวกมันสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ง่ายขึ้น ขนที่อุ้งเท้าจะหนาเพื่อให้พวกมันสามารถเดินบนทรายที่ร้อนระอุได้ ขนสีน้ำตาลเหมือนทรายของมันช่วยให้มันสามารถอำพรางตัวได้ในทะเลทราย นอกจากนั้นขนของพวกมันยังหนาต่างจากสัตว์ที่อยู่ในทะเลทรายอื่นๆ โดยขนของมันจะสะท้อนความร้อนจากแสงแดดในเวลากลางวันออกไป ส่วนตอนกลางคืนก็ทำหน้าที่สะสมความร้อนเอาไว้เพื่อต่อสู้กับความหนาว เพราะพวกมันจะต้องออกมาหากินในเวลากลางคืนซึ่งอากาศจะหนาวจัดต่างจากเวลากลางวัน



พฤติกรรมตามธรรมชาติ
       เฟนเน็คฟ็อกซ์ อาศัยอยู่ในทะเลทรายซาฮารา ขนสีน้ำตาลของมันจะกลืนไปกับผืนทราย บนพื้นทะเลทรายไม่มีต้นไม้ ไม่มีน้ำ มีเพียงพืชอย่างต้นตะบองเพชรที่เจริญเติบโตได้ เฟนเน็คฟ็อกซ์ดำรงชีวิตในแต่ละวันด้วยการหากินตามทะเลทรายและอาศัยอยู่ในรูลึกที่ขุดขึ้นเอง ภายในมีห้องเป็นสัดส่วน ทั้งห้องเลี้ยงลูก ห้องนอน ซึ่งอุณหภูมิภายในรูจะแตกต่างจากบนพื้นทะเลทรายมาก อุณหภูมิข้างบนอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียส แต่ข้างล่างจะเย็นลงเหลือเพียง 20-25 องศาเซลเซียสเท่านั้น
     
       ในช่วงเช้าเฟนเน็คฟ็อกซ์จะออกหากินและวิ่งเล่นรับแดด ส่วนตอนกลางคืนอุณหภูมิจะติดลบ เนื่องจากภูมิประเทศที่เป็นทะเลทรายจะมีความผันผวนของอุณหภูมิสูง ถ้าร้อนก็ร้อนจัด ถ้าเย็นก็เย็นจนติดลบ นอกจากนี้ยังมีภัยธรรมชาติอย่างพายุทะเลทรายอีกด้วย ดังนั้น เฟนเน็คฟ็อกซ์จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพของพื้นที่ ขนของมันจะเป็นฉนวนกันความร้อนและความเย็นไปด้วยในตัว สามารถกันความร้อนและเก็บความอุ่นไว้เพื่อรับกับสภาพอากาศตอนกลางคืน ฉะนั้นพอผ่านช่วงกลางคืนที่หนาวสุดไปแล้ว ในตอนเช้าจึงต้องออกมารับแดดเพื่อให้ขนเก็บความอบอุ่นไว้เพื่อต่อสู้กับสภาพอากาศในคืนต่อไป และจะทำเช่นนี้เป็นกิจวัตรประจำวัน
     
       “ส่วนวิธีการหาอาหาร เฟนเน็คฟ็อกซ์มีความว่องไวเหมือนพังพอนสามารถจับแมลงได้อย่างรวดเร็ว สามารถกินงูหางกระดิ่งได้ หรือกินแมงป่องที่มีพิษได้เพราะเคลื่อนไหวเร็วกว่า เฟนเน็คฟ็อกซ์ จะตะปบจนเหล็กในหลุดหรือหักก่อนแล้วถึงจะกิน บางทีก็อาจจะกินลูกหนูขนาดเล็ก หรือไข่นกที่วางอยู่ตามพื้น เขาจะได้กินน้ำจากพืชเป็นส่วนใหญ่ อย่างพวกตระกูลตะบองเพชรเพราะในทะเลทรายหาน้ำยาก เขาก็จะกินน้ำจากพืชที่พอหาได้ ซึ่งพฤติกรรมตามธรรมชาติแล้วจะหากินแยกกันเป็นคู่และไม่ออกล่าเป็นฝูงอย่างที่เราเคยเห็น”
     
       “ข้อดีของเฟนเน็คฟ็อกซ์ ที่ได้รับความนิยมกว่าสุนัขจิ้งจอกชนิดอื่น เนื่องจากเขาเป็นสุนัขจิ้งจอกที่ไม่ล่าเหยื่อ กินเพียงแมลงตัวเล็กๆ กินพืช ผัก ผลไม้ จึงไม่มีสัญชาตญาณของความก้าวร้าว แต่ถ้าเป็นสุนัขจิ้งจอกขนาดใหญ่จะออกล่าสัตว์ใหญ่ประเภทกวาง เก้ง เพราะฉะนั้นความดุร้ายจึงมีมากกว่า ทำให้มีลักษณะพฤติกรรมการหาอาหารแตกต่างกัน และต่อให้เป็นตัวที่ดุที่สุดมันก็ไม่ทำร้ายคน”



วิธีการเลี้ยงสำหรับคนที่ไม่เคยเลี้ยงเฟนเน็คฟ็อกซ์มาก่อน ขั้นตอนง่ายๆ เหมือนกับการเลี้ยงสุนัขทั่วไป มีอุปกรณ์พื้นฐานได้แก่ กรงเลี้ยง ถ้วยอาหาร กระบอกขวดน้ำ และอาหารเม็ด อาจเสริมด้วยเนื้อไก่ต้ม เฟนเน็คฟ็อกซ์เป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่ายแต่ต้องอยู่ในความดูแลเพราะเป็นสุนัขจิ้งจอกพันธุ์เล็ก มีกระดูกอ่อน ดั้งนั้นจึงเล่นขย้ำเหมือนสุนัขทั่วไปไม่ได้เพราะอาจจะทำให้เกิดกระดูกหักได้
     
       หลักๆ ควรให้อาหารสุนัขชนิดเม็ดเกรดดี เพราะเฟนเน็คฟ็อกซ์ต้องการโปรตีนสูง และไม่ควรให้อาหารซ้ำซากจำเจ อาจเปลี่ยนเป็นผลไม้อย่างเช่น มะม่วง กล้วย มะละกอ ซึ่งสัตว์ชนิดนี้กินได้หมด แต่ไม่ควรให้ทุกวัน อาจสลับหมุนเวียนกันไป อาหารเม็ดบ้าง ผักผลไม้บ้าง และก็เนื้อไก่เสริมวันเว้นวันหรือจะเป็นไข่ต้มก็กินได้เช่นกัน
     
       “ส่วนสถานที่เลี้ยงแนะนำให้เลี้ยงปล่อยในบ้านหรือในกรงก็ได้ ถ้าปล่อยได้ก็จะดีที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้สัตว์เกิดความเครียด อย่างในห้องนอนเวลาเราอยู่เราก็ปล่อยเขาไว้ ให้เขาวิ่งเล่นบ้างเพราะพวกนี้เขาต้องการใช้พลังงานเยอะ เพราะปกติในวันหนึ่งเขาต้องออกไปหาอาหารกินหลายกิโลเมตร ในทะเลทรายไม่ใช่ว่าหาอาหารได้ง่ายๆ มันจะต้องเดินไปเรื่อยๆ และก็กลับมาที่อาศัยใหม่ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ เฟนเน็คฟ็อกซ์จะต้องเดินหาอาหารในระยะทางประมาณ 5-10 กิโลเมตรเลยทีเดียว”
       


       ข้อควรระวังสำหรับเฟนเน็คฟ็อกซ์ คือเรื่องกระดูกที่หักเปราะง่ายและอาการท้องเสียเนื่องจากอาหารที่ผู้เลี้ยงให้ ทั้งต้องระวังเรื่องของเชื้อโรค หากยังให้วัคซีนไม่ครบซึ่งในระยะนี้ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะว่าเฟนเน็คฟ็อกซ์สามารถติดโรคที่อยู่ในเมืองได้ง่าย เนื่องจากในป่าไม่ค่อยมีโรค ไม่มีไข้หัด ไม่มีลำไส้อักเสบ อย่างที่เราพบเจอบ่อยในสัตว์เลี้ยง ฉะนั้นถ้าเป็นโรคเหล่านี้เฟนเน็คฟ็อกซ์ก็อาจจะตายได้เร็วกว่าสัตว์ประเภทอื่น
     
       “อย่างโรคในป่าถ้าเป็นสัตว์ที่อยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเป็นแล้วก็จะตายเลย และจะโดนสัตว์ตัวอื่นเอาซากไปกิน มันก็เหมือนเป็นการกำจัดเชื้อโรค ลดการแพร่ระบาด พอมาอยู่ในเมือง เชื้อโรคของเมืองจะแตกต่างจากเชื้อโรคที่อยู่ในป่า ดังนั้นถ้าระยะที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนให้ระวังเรื่องความสะอาด การเอาออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน และอย่าให้เลียมือเล่นหากวัคซีนยังฉีดไม่ครบ แต่ถ้าฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มแล้ว เขาก็จะมีภูมิต้านทานเหมือนสุนัขและสัตว์เลี้ยงทั่วไป”



ที่มา :  
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000070945
https://storybykhaw.wordpress.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81/
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%81
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vinitsiri&month=06-2011&date=11&group=72&gblog=91

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แมวสก๊อตติสโฟลด์ (Scottish Fold)



สก๊อตติสโฟลด์ เป็นแมวที่มีลักษณะแตกต่างไปจากแมวชนิดอื่นๆ นั่นคือมีหูที่ที่พับไปด้านหน้า  มีขนาดเล็ก ตาโตเหมือนนกฮูก  สก๊อตติสโฟลด์เป็นแมวที่มีถิ่นกำเนิดจากทางประเทศสก๊อตแลนด์ หน้ากลม  เป็นแมวที่น่ารักและกำลังเป็นที่นิยมเลี้ยงในปัจจุบัน  แต่บ้านเรานั้นมีราคาค่อนข้างสูงเอาการเลยทีเดียว  และที่สำคัญเป็นแมวที่เลี้ยงง่าย  ดูแลรักษาไม่ยากมีความสงบเสงี่ยม สุภาพเรียบร้อย  

ประวัติความเป็นมา
              แมวพันธุ์ Scottish Fold ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1961 ในสก๊อตแลนด์ มันมีชื่อว่า Susie มีลักษณะเป็นแมวสีขาวที่มีหูพับไปมาทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้ ใบหน้ามีลักษณะคล้าย นกฮูก หรือหน้าของตัวนาก ผู้ที่สังเกตเห็นคนแรกคือ William Ross มีอาชีพเป็นคนเลี้ยงแกะ William และภรรยาเป็นคนที่รักแมวมาก และทั้งคู่สนใจ Susie มาก เมื่อ Susie ออกลูกเป็นลูกแมวหูพับ 2 ตัว ครอบครัวของเขาจึงขอลูกแมวตัวเมียตัวหนึ่งมาเลี้ยง และได้ตั้งชื่อว่า Snooks ลูกของ Snooks เป็นสายพันธุ์ที่มาจาก British Shorthair และนี่ก็เป็นต้นกำเนิดของสายพันธุ์ Scottish Fold ในเวลานี้ สายพันธุ์นี้ได้รับการจดทะเบียนจาก The Governing Council of the Cat Fancy ของประเทศอังกฤษ

          ทั้งนี้ ในช่วงปี ค.ศ. 1960 Pat Turner นักพันธุศาสตร์ และ cat breeder เป็นผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์นี้ ในช่วง 3 ปี มีลูกแมวเกิด 76 ตัว 42 ตัวเป็น พวกหูพับ อีก 34 ตัว เป็นพวกหูตั้ง เธอได้ร่วมกับ Peter Dyte นักพันธุศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ลงความเห็นว่า ลักษณะหูพับกลายเป็นลักษณะเด่น นั่นหมายถึงถ้าลูกแมวได้รับการถ่ายทอดยีนจากพวกที่มีหูตั้ง และพวกที่มีหูพับ ลูกแมวตัวนั้นจะมีลักษณะหูพับ

          สำหรับ Susie ต้นกำเนิดของ แมวพันธุ์ Scottish Fold หูมีลักษณะการพับแบบหลวม ๆ ปลายหูพับลงมาด้านหน้าประมาณครึ่งหนึ่ง รูปแบบนี้ เรียกว่า single fold และในปัจจุบันยังมีหูพับแบบ triple fold ด้วย คนเลี้ยงแมวบางส่วนในประเทศอังกฤษมีความเชื่อว่า แมวพันธุ์ Scottish Fold อาจมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อโรคทางหู และ มีโอกาสในการเป็นหูหนวกสูง พวกเขาจึงร่วมมือกันต่อต้านการจดทะเบียนของ Scottish Fold ใน Great Britain และ Europe 

          อย่างไรก็ตาม Mrs. Ross ได้นำแมวหูพับบางส่วนของเธอจัดส่งไปให้ ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ Neil Todd นักพันธุศาสตร์ ใน Newtonville คอกแรกที่เกิดในอเมริกา เกิดวันที่ 30 พฤศจิกายน 1971 หลังการค้นคว้าเสร็จสิ้นลง ลูกแมวหูพับบางส่วนได้รับการยอมรับจาก CFA

           โดย แมวพันธุ์ Shorthair Scottish Folds ได้รับการจดทะเบียนจาก ACA ในปี 1973 และ จาก ACFA, CFA ในปี 1974 สถาบัน TICA เป็นที่แรกที่จดบันทึกว่า Longhairs ชนะเลิศการประกวด ในปี 1987-88 และชนะของ CFA ในปี 1993-94 

          และแม้ว่าครอบครัว Ross จะล้มเลิกความพยายามในการทำให้ประเทศของเขายอมรับแมวสายพันธุ์นี้ แต่พวกเขาได้รับการยกย่องในประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นผู้ค้นพบ แมวพันธุ์ Scottish Fold

ลักษณะนิสัย
                สก๊อตติสโฟลด์เป็นแมวที่เป็นมิตรกับทุกคนมีความอ่อนโยน  เรียบร้อยและสงบไม่ค่อยจะร้อง ขี้เล่น จงรักภักดีกับผู้เป็นเจ้าของ  สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว   สามารถที่จะเป็นเพื่อนกับแมวตัวอื่นๆได้ดี   มีความอยากรู้อย่างตามธรรมชาติ  และในบางครั้งเราอาจจะเห็นอยู่ในคริปบ่อยในเรื่องความน่ารักของมันไม่ว่าเป็นการนั่งโดยการเอนหลังเหมือนคนนั่ง  การที่เห็นอะไรหรือว่ารู้สึกผิดปกติมันจะหันหลังและทำตาโตๆ  หรือหากมีการเรียกร้องความสนใจ  อาจจะมีนั่งที่ตักแล้วส่งเสียงร้องเบาๆ  นั้นเป็นการแสดงออกทางหนึ่งของแมวสก๊อตติสโฟลด์  สามารถเลี้ยงไว้กับบ้านที่มีเด็กได้

ลักษณะรูปร่าง
                สำหรับรูปร่างของสก๊อตติสโฟลด์  เป็นแมวที่มีขนาดกลาง  มีทั้งขนที่ยาวและขนสั้น  ตาส่วนมากเป็นสีเหลืองอาจะมีสีอื่นๆ อีก สำหรับสีของขนนั้นอาจจะเกิดจากการพัฒนาสายพันธุ์จึงทำให้ขนของมันมีสีที่หลากหลายมาก  แทบจะทุกสี  และที่มีลักษณะที่โดเด่นไม่เหมือนใครก็คือหูที่พับลงมานั้นเอง
                หู : เป็นลักษณะที่ทำให้มีความแตกต่างไปจากแมวชนิดอื่นๆ  คือมีลักษณะหูที่พับลงไปด้านหน้า  ซึ่งเกิดจากยีนเด่นที่ไม่สมบูรณ์จึงเกอดในลักษระที่กลายพันธุ์  ที่มีการส่งผลให้กระดูกอ่อนที่หูผิดปกติไปแล้วยังส่งผลให้กระดูกส่วนอื่นๆนั้นผิดปกติไปด้วยจึงทำให้การผสมในยุคแรกๆนั้นมีความผิดปกติในส่วนของกระดูกสันหลังและขาด้วย  จึงมีการพัฒนาสานพันธุ์ให้มีความแข็งแรงในเวลาต่อมา 
                ลักษณะที่เห็นคือหูจะมีขนาดเล็กมีการพับไปข้างหน้าลักษระเหมือนนกฮูก  แต่ว่าการที่หูจะพับนั้นจะไม่ได้พับตั้งแต่เกิดจะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 3 – 4 สัปดาห์หูก็จะเริ่มพับลง  แต่ก็ไม่ได้พับลงทั้งคอกนะครับ  จะเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของลูกในคอกเท่านั้น  อีก 1 ส่วนหูจะตั้งตลอดไป  ซึ่งขึ้นอยู่พ่อและแม่พันธุ์ที่นำมาผสมด้วย
                ลำตัว : มีขนาดปลายกลาง  ตัวผู้จะหนัก 4 – 6 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 2.7 – 4 กิโลกรัม  มีขนาดตัวที่ค่อนข้างจะอ้วนใหญ่หน่อย ขามีขนาดสัดส่วนเข้ากับร่างกาย
                ตา : ส่วนใหญ่จะเป็นสีเหลืองอำพัน  ตาโตกลมกว้าง
                หัว : หัวเป็นรูปโดมมีลำคอที่สั้น  จมูกจะสั้น แก้มป่อง
                หาง :  หางยาวเป็นพวง  ได้สัดส่วนกับร่างกาย
                ขน : มีทั้งที่เป็นขนสั้นและขนยาวขึ้นอยู่สายพันธุ์  และมีสีที่หลากหลายมาก

การเลี้ยงและดูแลรักษา  เป็นแมวที่เลี้ยงไม่ยากสามารถที่จะดูแลรักษาไม่ยากเช่นกัน  หากมีเวลาว่างควรที่จะเล่นกันเพราะเป็นแมวที่ขี้เล่น  ไม่ต้องอาบน้ำให้บ่อยแต่ควรที่จะหวีขนให้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อเป็นการเอาขนที่ตายแล้วออกไป  และเนื่องจากหูที่พับของมันทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและขี้หู  ควรที่จะทำความสะอาดบ่อยๆ  ให้อาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุสูง  โปรตีนด้วย  หาพื้นที่ให้ออกกำลังกายบ้าง
 การฝึกการอาบน้ำลูกแมว

            ควรอาบด้วยน้ำอุ่น ๆ โดยใช้มือลูบน้ำอุ่นไปตามตัวก่อนที่จะใช้ฝักบัวจ่อตรงไปที่แมว ระวังอย่าทำน้ำเข้าจมูกหรือใบหน้าแมว วิธีที่ดีกว่าคือให้อาบน้ำตั้งแต่บริเวณหลังใบหูและต้นคอลงไปค่ะ ส่วนบริเวณหน้าผาก และใบหน้า ใช้ฟองน้ำ (แบบแป้งตลับทาหน้าของคน) ซุบน้ำหมาดๆเช็ดเอา จากนั้นให้ใช้ไดร์อุ่นๆ เป่าจนแห้งสนิททั้งตัว ถ้าลูกแมวมีอาการตื่นกลัวเสียงไดร์ สามารถเอาสำลีอุดหูไว้ได้ค่ะ
            
            ก่อนอาบน้ำทุกครั้ง ให้ฝึกการเช็ดหู ตัดเล็บลูกแมวให้คุ้นชิน ทำทุกครั้งก่อนอาบน้ำ สำหรับลูกแมวเด็ก อาบน้ำ 10 วันต่อครั้ง แต่หากลูกแมวเป็นเชื้อราควรอาบน้ำทุก 5 วัน ด้วยแชมพูสำหรับรักษาเชื้อรา

 การใช้อาหารเสริมสำหรับลูกแมว

            เริ่มให้ได้ตั้งแต่ลูกแมวมีอายุ 1 เดือนขึ้นไปค่ะ โดยใช้อาหารเม็ดสำหรับลูกแมว แช่น้ำต้มสุก แล้วปั่นจนเหมือนโจ๊ก หรือจะใช้อาหารสำหรับลูกแมวที่เป็นถาดสำเร็จรูป ผสมน้ำอุ่นนิดหน่อยเพื่อที่จะใช้ไซริงก์ดูดขึ้นค่ะ (จะมีของยี่ห้อโรยัล คานิน) โดยใช้ไซริงก์ขนาด 3 CC ป้อนในระยะแรก วันละ 2-3 มื้อเพื่อฝึกการกินอาหารและการย่อยอาหารก่อนค่ะ ในสัปดาห์แรกของการให้อาหารควรให้ครั้งละ 3 CC ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มจนกว่าลูกแมวจะอิ่มค่ะ หลังจากเราเริ่มหัดให้เขากินอาหารเหลวแล้ว ควรใส่อาหารเม็ดสำหรับลูกแมวไว้ให้เขาหัดทานด้วยค่ะ ถ้าเราสังเกตว่าลูกแมวเริ่มกินอาหารเม็ดเองได้ ก็ลดปริมาณมื้อที่เราป้อนให้ลงได้ค่ะ

 การฝึกให้ลูกแมวกินน้ำจากขวด

            จะใช้วิธีการติดขวดน้ำจุกเล็ก ๆ สำหรับลูกแมวในตำแหน่งที่เาสามารถนั่งกินได้ไว้ใกล้ๆ กันบริเวณขวดน้ำของแม่แมว (หลายครั้งที่เห็นลูกแมวกินน้ำตามแม่แมวค่ะ) แต่ถ้ากรณีดูแล้วปริมาณน้ำไม่ลดเลย ให้เอาปากลูกแมวไปจ่อที่ขวดน้ำได้เลยค่ะ ให้เขารู้ว่ามีน้ำกินจากตรงนี้ จะเป็นการค่อยๆ ฝึกลูกแมวให้เริ่มกินน้ำเองค่ะ
 การฝึกลูกแมวเข้ากระบะทราย

            เริ่มจากการนำกระบะทรายเตี้ย ๆ ที่ลูกแมวสามารถปีนเข้าได้ วางไว้ให้หลังจากลูกแมวเริ่มเดินได้แข็งแรง ตำแหน่งการวางกระบะทรายก็ควรวางไว้ ใกล้กระบะทรายของแม่แมวนะคะ เขาจะเริ่มเข้าตามแม่แมวเองโดยธรรมชิตค่ะ การเข้ากระบะทรายฝึกไม่ยากค่ะ

 การหวีขนลูกแมว

            สำหรับเปอร์เซีย ควรหวีทุก 3 วันครั้ง เพื่อป้องกันการขนพันกันค่ะ แต่สำหรับก็อตติช โฟลด์ ใช้หวีสลิกเกอร์หรือหวีขนหมูหวีทุกสัปดาห์ เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกจากตัวลูกแมวค่ะ
นอกจากนี้ การดูแลเรื่องวัคซีนและถ่ายพยาธิ ลูกแมวควรได้รับการถ่ายพยาธิตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไป แล้วถ่ายซ้ำรอบที่สองเมื่อลูกแมวมีอายุ 2 เดือน พร้อมกับการทำวัคซีนเข็มแรกด้วยค่ะ หลังจากนั้นควรทำวัคซีนตามที่แพทย์กำหนดเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกแมวค่ะ
                การเลือกซื้อแมวสก๊อตติสโฟลด์
                ไม่ว่าจะเลือกซื้อแบบใดไม่ว่าจะเป็นหูพับหรือว่าหูตั้งแล้วแต่ความชิบของผู้เลี้ยง  เพราะว่าจะมีนิสัยและรูปร่างที่เหมือนกัน เลือกสีและขนที่ชอบ แต่ว่าหูพับออาจจะมีราคาที่สูงกว่า ตรวจสอบร่างกายว่ามีสุขภาพที่แข็งแรงหรือไม่  การสอบถามแหล่งที่มาอื่นๆ  เนื่องจากบ้านเราอาจจะยังมีไม่มากและมีราคาที่สูงหลักหมื่นเลยทีเดียว  ควรตรวจสอบที่มาของสายพันธุ์ให้ดี


ที่มา
https://sites.google.com/site/comeminkkcatscottishfold/karndulaescottishfold
http://www.nupet.org/
http://pet.kapook.com/view4624.html
http://pet.kapook.com/view36217.html

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บทความเรื่อง ชูการ์ไกลเดอร์

บทความ เรื่อง ชูการ์ไกลเดอร์


ชูการ์ไกลเดอร์ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ออกลูกเป็นตัว ตัวเมีย จะมีกระเป๋าที่หน้าท้อง ตอนที่อายุน้อยจะสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเพราะขนยังขึ้นไม่เต็มที่ และเมื่ออายุโตขึ้นจะสังเกตเห็นได้ยากเพราะขนจะขึ้นปรกคลุมบริเวณนั้น
ตัวผู้ จะมีลูกอัณฑะอยู่บริเวณหน้าท้อง และลงมาจะเป็นอวัยวะเพศจะมีลักษณะเป็นเส้น 2 เส้น จะหดอยู่อยู่ในบริเวณทวารหนัก เมื่อโตขึ้นจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะตัวผู้มักจะเอาออกมาทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ ชูการ์ไกลเดอร์จะอยู่รวมกันเป็นฝูงสิบตัวขึ้นไป ชอบกินแมลง ผลไม้ที่มีรสหวาน รวมถึงน้ำผึ้งและเกศรดอกไม้ด้วย ตอนอยู่ในป่าเขาจะชอบกินยางไม้หวานๆ หรือของกินที่มีรสหวาน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อชูการ์ไกลเดอร์นั่นเอง ช฿การ์ไกลเดอรที่เราเลี้ยงกันอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้มาจากออสเตรเลีย เพราะที่ออสเตรเลียจะไม่นำสัตว์ที่ติดไซเตสออกนอกประเทศ เพราะถือว่าเป็นสัตว์คุ้มครองของประเทศเขา แต่ที่เลี้ยงกันอยู่นี้ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันสามารถขยายพันธุ์ในประเทศของเราได้แล้วค่ะ ชูการ์ไกลเดอร์มีอายุเฉลี่ยถึง 10-15 ปี ตามธรรมชาติแล้วเจ้าชูการ์ไกลเดอร์จะอาศัยอยู่บนต้นไม้จึงมีเล็บที่แหลมคม ใช้กระโดดจากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่งเพื่อเกาะยึดไว้ ขนมีลักษณะนุ่ม มีพังผืดข้างลำตัวเพื่อใช้ร่อนคล้ายๆกระรอกบิน  เป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดนับจากจมูกถึงปลายหางถึง 11 นิ้ว ด้วยความที่มีหน้าตาน่ารักรวมถึงนิสัยไม่ก้าวร้าวจึงนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตวเลี้ยงซึ่งจัดอยู่ในเอ็กโซติคเพ็ท



ส่วนเรื่องอาหารนั้นสามารถกินอาหารได้หลายประเภทกินได้ทั้งพืช และ สัตว์ ชอบกินผลไม้รสหวานอย่างกล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ มะมม่วงสุก แตงโม ฯลฯ ควรให้กินผลไม้หลากชนิดสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้รับวิตามินครบถ้วน นอกจากนี้ควรให้กินแมลงบ้าง เช่น จิ้งหรีด ตั๊กแตน หนอนนก หนอนน้ำผึ้งหรือหนอนแว็กซ์ เพื่อเพิ่มโปรตีน ส่วนปริมาณอาหารในช่วงอายุ 2 เดือนแรก ให้กินซีลีแลค หรือ นมทดแทนจำพวกนมสุนัข นมแมว หรือนมแพะ วันละ 4-6 ครั้ง เพราะอยู่ในวัยเจริญเติบโต เมื่อย่างเข้าเดือนที่ 3 ลด เหลือวันละ 2-3 ครั้ง  อายุ 4 เดือนขึ้นไปให้อาหารวันละ 1-2 ครั้ง  และควรเตรียมน้ำสะอาดไว้ในกรงด้วยเพื่อไม่ให้ชูการ์ไกลเดอร์ขาดน้ำค่ะ
และแม้ว่าชูการ์ไกลเดอร์จะทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ แต่ก็ควรนำเขามาเช็ดทำความสะอาดได้อาทิตย์ละ1-2ครั้ง สามารถพามันไปอาบน้ำได้ โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหมาดๆ เช็ดตามลำตัว หรือ อาบน้ำ ฟอกสบู่ได้เลยแต่ต้องเร็วๆ จากนั้นรีบเช็ดตัวให้แห้งเร็วๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ปอดชื้น 
 

สิ่งหนึ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเลี้ยงดูเจ้าชูการ์ไกลเดอร์ก็คือคือ เล็บอันคมกริบเวลาที่เค้าเกาะจะเจ็บพอสมควร อาจเกิดรอยขีดข่วนได้ ยิ่งหาก ชูการ์ ไกลเดอร์ เกิดตกใจจะกระตุกเท้าแล้วเล็บจะจิกเราทำให้เป็นแผลได้ ดังนั้น ควรตัดเล็บโดยนำกรรไกรตัดเล็บมาตัดบริเวณปลายๆ ซึ่งในการตัดเล็บครั้งแรกอาจยากสักหน้อย เพราะความไม่เคยชิน จึงแนะนำให้แอบตัดตอนที่เขานอน หรือกำลังกินจะง่ายที่สุด หรือใช้ผ้าจับตัวน้องไว้ แล้ว ดึงขาออกมาทีละข้าง และ ค่อยตัด โดยตัดบริเวณส่วนปลายสีใสๆเท่านั้น เพราะถ้าลึกจะโดนเส้นประสาทและเกิดอาการเลือดไหลไม่หยุดได้ค่ะ




ในการเลือกซื้อควรเลือกซื้อ ชูการ์ไกลเดอร์ที่มีอายุ 2 เดือนครึ่งขึ้นไป เพราะจะมีอัตราการรอดสูงกว่าชูการ์ไกลเดอร์ที่มีอายุน้อยกว่านี้ เพราะเขาจะสามารถทานข้าวได้เองและปรับตัวได้
ควรเลือกตัวที่ซน ร่าเริง ปีนป่ายเก่งๆ แต่ปกติเรามักจะไม่ค่อยได้เห็น เพราะชูการไกลเดอร์เป็นสัตว์กลางคืน ตอนกลางวันจึงเอาแต่นอนค่ะ


นิสัยของชูการ์นั้นมีนิสัยขี้เล่น ซุกซน ชอบกัดแทะ ขี้สงสัย อยากรู้อยากเห็น ขี้ตกใจ ขี้อ้อน ชอบปีนป่าย ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง และที่สำคัญที่ทุกตัวต้องเป็นคือขี้นั่นเองค่ะ
ชูการ์ไกรเดอร์ที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของคุณภาพของอาหาร สะอาด สารอาหารครบ มีโภชนาการที่ดี จะทำให้ชูการ์ไกรเดอร์มีร่างกายที่แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี


  

สำหรับวิธีการเลี้ยงนั้น เราต้องเตรียมกล่องหรือกรงที่มีขนาดใหญ่ และสูง  เพราะชูการ์ไกลเดอร์ชอบกระโดดและปีนป่าย จึงควรหากิ่งไม้หรือที่สำหรับปีนป่ายไว้ในกรงด้วย ควรมีถุงนอนหรือผ้าจัดไว้ให้ด้วย เพราะชูการ์ไกลเดอร์ชอบนอนซุกตามถุงผ้าเพราะเค้าเป็นสัตว์ขี้หนาว

การเลือกซื้อชูการ์ไกลเดอร์
ส่วนเรื่องอาหารนั้นสามารถกินอาหารได้หลายประเภทกินได้ทั้งพืช และ สัตว์ ชอบกินผลไม้รสหวานอย่างกล้วย แอปเปิ้ล มะละกอ มะมม่วงสุก แตงโม ฯลฯ ควรให้กินผลไม้หลากชนิดสับเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้รับวิตามินครบถ้วน นอกจากนี้ควรให้กินแมลงบ้าง เช่น จิ้งหรีด ตั๊กแตน หนอนนก หนอนน้ำผึ้งหรือหนอนแว็กซ์ เพื่อเพิ่มโปรตีน ส่วนปริมาณอาหารในช่วงอายุ 2 เดือนแรก ให้กินซีลีแลค หรือ นมทดแทนจำพวกนมสุนัข นมแมว หรือนมแพะ วันละ 4-6 ครั้ง เพราะอยู่ในวัยเจริญเติบโต เมื่อย่างเข้าเดือนที่ 3 ลด เหลือวันละ 2-3 ครั้ง  อายุ 4 เดือนขึ้นไปให้อาหารวันละ 1-2 ครั้ง  และควรเตรียมน้ำสะอาดไว้ในกรงด้วยเพื่อไม่ให้ชูการ์ไกลเดอร์ขาดน้ำค่ะ

และแม้ว่าชูการ์ไกลเดอร์จะทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ แต่ก็ควรนำเขามาเช็ดทำความสะอาดได้อาทิตย์ละ1-2ครั้ง สามารถพามันไปอาบน้ำได้ โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหมาดๆ เช็ดตามลำตัว หรือ อาบน้ำ ฟอกสบู่ได้เลยแต่ต้องเร็วๆ จากนั้นรีบเช็ดตัวให้แห้งเร็วๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ปอดชื้น 
  สิ่งหนึ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเลี้ยงดูเจ้าชูการ์ไกลเดอร์ก็คือคือ เล็บอันคมกริบเวลาที่เค้าเกาะจะเจ็บพอสมควร อาจเกิดรอยขีดข่วนได้ ยิ่งหาก ชูการ์ ไกลเดอร์ เกิดตกใจจะกระตุกเท้าแล้วเล็บจะจิกเราทำให้เป็นแผลได้ ดังนั้น ควรตัดเล็บโดยนำกรรไกรตัดเล็บมาตัดบริเวณปลายๆ ซึ่งในการตัดเล็บครั้งแรกอาจยากสักหน้อย เพราะความไม่เคยชิน จึงแนะนำให้แอบตัดตอนที่เขานอน หรือกำลังกินจะง่ายที่สุด หรือใช้ผ้าจับตัวน้องไว้ แล้ว ดึงขาออกมาทีละข้าง และ ค่อยตัด โดยตัดบริเวณส่วนปลายสีใสๆเท่านั้น เพราะถ้าลึกจะโดนเส้นประสาทและเกิดอาการเลือดไหลไม่หยุดได้ค่ะ




การเลือกซื้อชูการ์ไกลเดอร์
ในการเลือกซื้อควรเลือกซื้อ ชูการ์ไกลเดอร์ที่มีอายุ 2 เดือนครึ่งขึ้นไป เพราะจะมีอัตราการรอดสูงกว่าชูการ์ไกลเดอร์ที่มีอายุน้อยกว่านี้ เพราะเขาจะสามารถทานข้าวได้เองและปรับตัวได้
ควรเลือกตัวที่ซน ร่าเริง ปีนป่ายเก่งๆ แต่ปกติเรามักจะไม่ค่อยได้เห็น เพราะชูการไกลเดอร์เป็นสัตว์กลางคืน ตอนกลางวันจึงเอาแต่นอนค่ะ



ที่มา
http://www.sugargliderthais.com/
http://www.sgloverclub.com/
https://www.youtube.com/watch?v=U9Ke12zLts0
https://www.youtube.com/watch?v=n3SMh-xQwNE

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บทที่ 8 การใช้สารสนเทศตามกฎหมายและจริยธรรม


แบบฝึกหัด 

บทที่ 8 การใช้สารสนเทศตามกฎหมายและจริยธรรม             กลุ่มที่เรียน  4
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน รหัสวิชา 0026 008 
ชื่อ-สกุล นางสาว ชิดศุภางค์  บุบผาโสภา  รหัส 57011015321 HM ปกติ
คำชี้แจง จงพิจารณากรณีศึกษานี้ 
1) “นาย A ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่ เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว C เมื่อนางสาว C ทราบเข้าก็เลยนำโปรแกรมนี้ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง” การกระทำอย่างนี้ ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมาย ใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย 
     เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม คือ นาย และนางสาว ไม่ได้ทำการขออนุญาต นาย อย่างถูกกิจจะลักษณะ อาจทำให้นาย เสียหายได้ และ ผิดกฎหมาย คือ  กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) สาระของกฎหมายนี้มุ่งเน้นให้การคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัว ไม่ให้มีการนำข้อมูลของบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ

2) “นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบนโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตำราต่างๆ อีกทั้ง รูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย K เป็นนักเรียน ในระดับประถมปลายที่ทำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J” การ กระทำอย่างนี้ ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย 
    การกระทำนี้อาจกระทำขึ้นด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดความเสื่อมเสียถึงผู้ใด แต่การกระทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อื่นจึงเป็นการทำผิดจริยธรรมโดยตรง ทั้งการปลอมหลักฐาน และการหลอกลวงโดยไม่มีการทำการพิสูจน์ และยืนยันจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและขาดความน่าเชื่อถือ อาจทำให้ตนเองหมดความน่าเชื่อถือไปด้วย

บทที่ 7 ความปลอดภัยของสารสนเทศ

แบบฝึกหัด บทที่ 7 ความปลอดภัยของสารสนเทศ

บทที่ ความปลอดภัยของสารสนเทศ                    กลุ่มที่เรียน 4
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน     รหัสวิชา 0026 008
ชื่อ –สกุล นางสาว ชิดศุภางค์  บุบผาโสภา         รหัส 57011015321 HM ปกติ
คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปนี้
 
1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์ (Firewall) คือ ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือรักษาความปลอดภัยให้กับเครื่องข่ายภายใน (Internet) โดยป้องกันผู้บุกรุก (Intrusion)ที่มาจากเครือข่ายภายนอก หรือเป็นการกำหนดนโยบายการควบคุมการเข้าถึงระหว่างเครือข่าย โดยสามารถกระทำได้โดยวิธีแตกต่างกันไป และแต่ระบบ ไฟร์วอลล์ มีขีดความสามารถในการไม่อนุญาตการ Login สำหรับผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าใช้งานในเครือข่าย แต่ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ใช้งานทั้งภายใน และติดต่อภายนอกเครื่อข่ายได้โดยจำกัดข้อมูลจากภายนอกเคือข่ายไม่ให้เข้ามา ในเครือข่าย นับเป็นจุดสังเกตการณ์ตรวจจับและรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย เปรียบได้ดังยรมที่ทำหน้าที่เผ้าประตูเมือง

2. จงอธิบายคำศัพท์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm , virus computer, spy ware, adware มาอย่างน้อย โปรแกรม  
virus จะแย่งให้หรือทำลายทรัพยากรของคอมพิวเตอร์ เช่น ไฟล์ข้อมูล แรม

3. ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
6 ชนิด คือ บู๊ตเซ็กเตอร์ไวรัส   โปรแกรมไวรัส   โทรจันฮอร์ส   โพลีมอร์ฟิกไวรัส   สตีลท์ไวรัส   มาโครไวรัส

4. ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย ข้อ
1) ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัส
2) ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะกับตัวเอง 
3)  ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้เป็น
4)  อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส (Definition) อยู่เสมอ 
5)  อย่ารับไฟล์แปลกหน้า และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ
5. มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตที่เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน ได้แก่ 
ปัจจุบันได้มีความพยายามที่จะเเก้ไขปราบปรามการเผยเเพร่อย่างต่อเนื่อง โดยมีประเด็นดังนี้ ผู้ใดประสงค์เเจกจ่ายเเสดง อวดทำ ผลิตแก่ประชาชนหรือทำให้เผยเเพร่ซึ่งเอกสาร ภาพระบายสีสิ่งพิมพ์ เเถบบันทึกเสียง บันทึกภาพหรือเกี่ยวเนื่องกับสิ่งพิมพ์ดังกล่าว มีโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยจะบังคับใช้กับผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต เซิร์ฟเวอร์ รวามถึงสื่อทุกประเภทอย่างจริงจังและมีการ
มี การจัดทำโครงการจากกระทรวง ไอซีที ด้วยตระหนักในการทวีความรุนเเรงของปํญหา จึงจัดทำโครงการ ไอซีทีไซเบอร์เเคร์ (ICT Cyber Care)โดยต่อยอดจากไอซีทีไซเบอร์คลีน(ICT Cyber Clean)เเบ่งเป็น ส่วนคือ 
1)ICT Gate Keeper เฝ้าระวังพิษภัยอินเทอร์เน็ตบนเครื่อข่ายและวงจรเชื่อมต่อระหว่างประเทศ (Geteway) พัฒนาซอฟต์เเวร์นี้โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กระทรวงไอซีที ได้มอบหมายให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินการเพิ่อเฝ้าระวังปิดกั้นข้อมูลไม่เหมาะสมตั้งแต่ต้นทาง
2) House Keeper ซึ่งจัดทำเป็นเเผ่นซีดีรอม และเเจกฟรีให้กับผู้ปกครองหรือดาวน์โหลดได้ฟรีจากเว็บไซต์ของกระทรวงโปรเเ กรมนี้จะมี ส่วน
ส่วนเเรก คิดดี้เเค์ปิดกั้นเว็บไซต์อนาจารและเว็บที่ไม่เหมาะสมที่กระทรวงไอซีที มีข้อมูลคาดว่าจะช่วยป้องกันได้ในระดับหนึ่ง
ต่อมาเป็ฯส่วนพิเพิลคลีน ติดไอคอนไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้จะคลิกเข้าไปเมื่อพบภาพลามกอนาจาร ประชาชนจึงสามารถเข้ามีบทบาทช่วยเฝ้าระวังภัยได้เช่นกัน
ส่วนสุดท้าย สมาร์ทเกมเมอร์ (Smart Gamer) เเก้ปัญหาการติดเกมส์ และควบคุมการเล่นเกมส์ของเด็กๆ ผู้ปกครองจะเป็นผู้กำหนดระยะเวลาของการเล่นเกมส์และช่วยดูแลเรื่องความรุน เเรงของเกมส์แต่ละส่วนควรต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัยตลอดเวลา
    โปรเเกรมนี้จะพอช่วยบรรเทาปัญหาและเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้งานบน อินเตอร์เน็ตจากผองภัย เช่น กลุ่มเว็บโป๊ ลามกอนาจาร กลุ่มเว็บกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ กลุามเว็บสอนใช้ความรุนเเรง ทารุน สอนเพศศึกษาเเบบผิดๆ ใช้ภาษาหยาบคาย สอนขโมยข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นต้น